เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED); Philips FRx Defibrillator®

เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED) ของ Philips FRx ได้รับการออกแบบมาพร้อมเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อช่วยตอบสนองและรักษาสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน (Sudden Cardiac Arrest)

สร้างขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อให้ติดตั้งง่ายและใช้งานง่าย ในขณะเดียวกันมีการอ่านผลที่เชื่อถือได้และทนทานสำหรับผู้ปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้นในที่เกิดเหตุ ซึ่งในประเทศไทยประสบทั้งปัญหาฝุ่นและความร้อน

นอกเหนือจาก “ใช้งานง่าย” แล้ว Philips ยังออกแบบ "SMART Pads II" อีกด้วย ซึ่งแผ่น AED สามารถใช้งานได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ทำให้ไม่ต้องใช้แผ่นAEDสองชุดแยกกันสำหรับผู้ใหญ่และเด็ก ช่วยคุณในการประหยัดงบประมาณในการจัดซื้อแผ่นAED

คำตอบ: เพียงแค่คุณเสียบกุญแจเด็ก/ทารก เข้าไปในช่องที่กำหนดให้ของ FRx AED ที่มีเครื่องหมายบอกอย่างชัดเจนที่อยู่ด้านบนของ AED หลังจากนั้นเครื่องAED จะรับรู้ได้ทันทีว่าคุณกำลังทำการช่วยเหลือชีวิตเด็กหรือทารก และจะปรับความแรงของกระแสไฟฟ้าให้เหมาะสม

คำตอบ: ดูที่แผ่นอิเล็กโทรด แล้วคุณจะเห็นรูปภาพบนแผ่นอิเล็กโทรดที่แสดงว่าคุณต้องแปะบริเวณใดของหน้าอก และบริเวณหน้าจอเครื่องAED จะมีแสงกระพริบเพื่อแสดงตำแหน่งที่ต้องแปะบนหน้าอก

โดยการแสดงภาพที่มีแสงสว่างและเสียงคำแนะนำที่ชัดเจนเป็นขั้นตอนสามารถปฏิบัติตามง่าย AEDจะบอกคุณว่าต้องทำอะไรและเมื่อใด

ตัวเครื่องมีพอร์ตอินฟราเรดที่เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับการส่งข้อมูลไปยัง PC หรือสมาร์ทโฟนด้วยซอฟต์แวร์ Event Review โดยไม่ต้องใช้สายเคเบิลหรือสายไฟให้ยุ่งยาก

หัวใจของ FRx AED คือเทคโนโลยี SMART Biphasic สุดพิเศษที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดโอกาศที่จะเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ เทคโนโลยีนี้ได้รับการสนับสนุนจากการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์และมีการทบทวนโดยผู้ทรงคุณวุฒิมากกว่า 40ฉบับ

เทคโนโลยี SMART จะวิเคราะห์และประเมินจังหวะการเต้นของหัวใจของผู้ป่วยสำหรับผู้ที่มีภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็วหรือภาวะสั่นพลิ้วไหวโดยอัตโนมัติ เพื่อพิจารณาว่าควรช็อกไฟฟ้าหรือไม่ หากเครื่องอ่านวิเคราะห์แล้วระบุว่าไม่ให้ทำการช็อกไฟฟ้า “แม้ว่าคุณจะกดปุ่มช็อก ก็จะไม่เกิดการกระตุ้นหัวใจขึ้น”

ด้วย "Quick Shock" ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรของ Philips ทำให้ FRx AED เป็นหนึ่งในเครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้าที่เร็วที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับยี่ห้ออื่นๆในระดับเดียวกัน

ผลการศึกษาพบว่าการลดระยะเวลาในการช็อกผู้ป่วยหลังการทำCPRลง จะช่วยให้การช่วยชีวิตประสบความสำเร็จมากขั้น

American Heart Association AHA Guidelines ปี 2005 ระบุว่า “การลดช่วงเวลาตั้งแต่การกดหน้าอกไปจนถึงการช็อกไฟฟ้าแม้เพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถเพิ่มความน่าจะเป็นที่จะเกิดการช็อกไฟฟ้าได้” ดังนั้นยิ่งเริ่มให้การช่วยเหลือผู้ป่วยเร็วเท่าใด ผู้ป่วยยิ่งมีโอกาสรอดชีวิตสูงตามไปด้วย